24 มิถุนายน 2552

Life Story Bob Marley

“บ็อบ มาร์เลย์” หรือชื่อจริงว่า "โรเบิร์ต เนสต้า มาร์เลย์" เป็นนักดนตรีเพื่อชีวิตเพื่อการต่อสู้ของประชาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของโลก

เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1945 ในเกิด ในชุมชนคนผิวดำ ในเมืองเชนต์เเอน์ ของประเทศจาไมกา ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่ระหว่างหลักไมล์ที่แปดกับเก้าระหว่างทางมุ่งสู่อัลวาเรียก
ตามภาษาคนท้องถิ่นว่า หลักเก้า ณ ประเทศ จาไมก้า


เป็นบุตรของ นางซีเดลล่า กับ ร้อยเอก นอร์วัล มาร์เลย์ เติบโตท่ามกลางชุมชนทาสเเละครอบครัวที่เเตกเเยกพ่อเป็นคนผิวขาวชาวอังกฤษที่ทำงานอยู
่กับราชนาวีอังกฤษ แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้เป็นพ่อ
พ่อจึงเป็นเพียงแค่คนรู้จักที่มาเยี่ยมเยียนในบางโอกาสเท่านั้น เขาจึงเติบโตมากับแม่
ปี 1957 มารดาพาอพยบสู่เมืองหลวง คือกรุงคิงสตัน อาศัยอยู่ในสลัม "เทรนช์ทาวน์" ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนจน มีวิถีตามความเชื่อดั่งเดิมของคนดำ คือ เชื่อว่าตนเป็นลูกหลานของกษัตริย์ โซโลมอน เเละเป็นชนชาวยิวพลัดถิ่นรอวันกลับสู่เเผ่นดินของตน ถิ่นนี้เป็นเเหล่งกำเนิดวัฒนธรรมและลัทธิ รัสตาฟาเรียนิสม์ ชีวิตวัยเด็กบ๊อบมีนิสัยเห็นเเก่ตัว เเต่ไม่มีนิสัยลักขโมยเเบบเด็กสลัมทั่วไปเขารักเพื่อนเเละทำเเทบทุกอย่างเพื่อเพื่อน

อายุ 17 ปีก็เริ่มทุ่มเทให้กับการร้องเพลง เเละฝึกฝนอย่างจริงจัง
โดยเริ่มจากการร้องในโรงภาพยนต์ เเละไช้เวลาหลังจากเลิกเรียนหัดร้องเพลงกับเพื่อนๆเเทนการทำการบ้าน
จนได้มีโอกาสเรียนรู้ด้านดนตรี จาก โจฮิกก์ส ศาสตราจารย์ข้างถนนที่มีความสามารถทางดนตรี
อย่างเยี่ยมยอด
เริ่มก่อตั้งวงดนตรีกับ บันนี เเละ ปีเตอร์ เเมคอินทอช เล่นเพลงป๊อปอเมริกาเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพในระหว่างฝึกฝนด้านดนตรี เเละมีเเผ่นเสียงของตนเองออกจำหน่ายในปี 1962

ปี 1963 ก่อตั้งวง เดอะ เวลลิงรูดบอยส์ กับเพื่อน 6 คน
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1966 เเต่งงานครั้งเเรกกับ ริต้า เเอนเดอร์สัน
ปี 1960 จังหวะเพลงสกาเริ่มช้าลงเปลี่ยนเป็น ร็อคสเตดีจนผสมผสานระหว่างอเมริกากับจาไมก้ากลายมาเป็น ดนตรีที่เรียกว่า"เร็กเก้"เเต่ยังไม่เป็นที่นิยมเพราะกระเเสเพลงร็อคยังร้อนเเรงอยู่ เวลาผ่านไปบทเพลงเร็กเก้เริ่มเป็นที่นิยม
เพลงเร็กเก้ เพลงเเรกที่บันทึกเสียงออกสู่ตลาดในปี 1968 เป็นผลงานของทูตส์ ฮิบเบิร์ต เเห่งวง เดอะ เมย์ตัลส์
จังหวะเร็กเก้เป็นจังหวะที่เน้นความสำคัญของกลองเเละเบส การให้จังหวะของกลองเเละเครื่องเป่า จังหวะการเคาะที่เเตกต่างจากจังหวะร็อคคืออยู่ที่จังหวะ 1-3 ไนขณะที่ร็อคอยู่ที่ 2-3 เนื้อหาของบทเพลงสะท้อนถึงลัทธิรัสตาฟาเรียน เเละ วิพากษ์วิจารณ์สังคมตามมุมมองของชาว รัสตา

ปี 1966 ประเทศจาไมก้าตกอยู่ในภาวะร้อนระอุบทเพลงเนื้อหาเริ่มร้อนเเรงขึ้น อันเป็นผลมา จากการปราบจราจลระหว่างผิวในปี 1965 ติดตามด้วยกระเเสต่อต้านคนดำ เเละการไล่รื้อสลัมทำหมู่บ้านจัดสรร
ในเดือนกรกฎาคม 1966 เเละการประทะของกลุมชนที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลเเละฝ่ายค้า อันได้เเก่พรรค อนุรักษ์นิยมเเจเเอลพี เเละพรรค สังคมนิยมพีเอ็นพีฝ่ายค้าน
วันที่ 17 เมษายน 1980 บ๊อบได้รับเชิญไห้ร่วมเล่นดนตรีในพิธีเฉลิมฉลองเอกราช
ของประเทศ ซิมบับเว ที่เคยป็นอาณานิคมของอังกฤษตั้งเเต่ปี 1965 ซิมบับเว เป็นประเทศเอกราชลำดับที่ 50 ของทวีปอัฟริกา
เป็นนักร้องนักแต่งเพลงชาวจาไมกาคนแรกที่ผลักดันเอาดนตรีพื้นเมืองจาไมกา หรือ “เร็กเก” ออกสู่ตลาดโลก และกลายเป็น “ราชาเพลงเร็กเก” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บันทึกเสียงครั้งแรกในเพลง Judge Not เมื่อเขาอายุ 16 ปี โด่งดังทั่วอังกฤษและสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี 1973 ในอัลบั้ม Catch a Fire ได้ออกโทรทัศน์ BBC
สิ่งพิเศษที่มีอยู่ในตัวเขาก็คือวิธีการประพันธ์เนื้อเพลงที่สะท้อนมุมมองทางการเมือ
ง ชีวิต และสังคมที่เฉียบแหลม คมคาย และหยั่งรากลึกสู่จิตวิญญาณ สถานการณ์พื้นฐานในทศวรรษที่ 1960-1970 นั้น ความขัดแย้งเรื่องสีผิวยังมีอยู่สูง คนผิวสีจึงเป็นเพียงพลเมืองชั้น 2
ท่ามกลางระบบความคิดแบบเหยียดผิวของพวกแองโกล-แซกซอน (Anglo-Saxon)นั้น เขาใช้ดนตรีเป็นสื่อในการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ผ่านกีตาร์ตัวหนึ่ง กับฮาโมนิการ์คู่ใจ ร้องเพลงเพื่อสะท้อนปัญหาอย่างทรงพลัง
ดนตรีเร็กเก้ที่บ็อบนำมาขับกล่อมนั้น ถูกขบวนการคนผิวดำและต่อต้านลัทธิเหยียดผิวบางกลุ่มนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงอ
อกถึงประเด็นทางสังคม เช่น กลุ่มรัสตาฟารี (Rasta Farians) และต่อมาเร็กเก้ก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนผิวขาวในตอนปลายทศวรรษ 1960
บ็อบ มาร์เลย์ทำให้ดนตรีเร็กเกเฟื่องฟูมากที่สุดในทศวรรษที่ 1970 เขาตั้งวงชื่อ "บ็อบ มาร์เลย์ แอนด์ เดอะ เวลเลอร์ส" (Bob Marley and the Wailers) ขึ้นในปี 1964 นับเป็นศิลปินเพลงเร็กเกคณะแรกที่โด่งดังไปทั่วโลก ในปี 1975 ได้ไปเปิดการแสดงที่ลอสแอนเจลิส ผู้คนคลั่งไคล้มาก เพลงฮิตเพลงแรกในอังกฤษคือ No Woman No Cry ในปี 1975 และ Jamming ในปี 1977 และ One Love ในปี 1984
บ็อบ มาเลย์แต่งงานกับริต้าในปี 1975 ประธานาธิบดีไมเคิล แมนเลย์แห่งจาไมกาสนับสนุนให้เขาจัดคอนเสิร์ตฟรี ในวันที่ 5 ธันวาคม 1975 นั้นเอง แต่ปรากฎว่าก่อนหน้า 2 วัน มีกลุ่มมือปืนมาดักยิงตัวเขา ริต้า และผู้จัดการวงดนตรี แต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต เขายังคงเดินหน้าแสดงคอนเสิร์ตต่อไปทั้ง ๆ ที่ใช้ผ้าคล้องแขนกับคอเพราะบาดเจ็บ
ปี 1976 บ็อบ มาเลย์ต้องงดรายการคอนเสิร์ตทัวร์ทั่วยุโรป เนื่องจากตรวจพบเป็นมะเร็งที่เท้าขวา อันเนื่องมาบาดแผลระหว่างการเล่นฟุตบอลในอดีตแล้วละเลยไม่รักษา
บ็อบ มาเลย์กลับมาแสดงคอนเสิร์ต One Love ที่จาไมก้าอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 1978 และได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการให้ประธานาธิบดี และผู้นำฝ่ายค้านขึ้นไปจับมือกันบนเวที และจับมือกัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาได้รับรางวัล The United Nations' Peace Medal ในเดือนมิถุนายน 1978 นั่นเอง
ปี 1980 เป็นผู้นำในการเฉลิมฉลองการประกาศอิสรภาพของซิมบับเวย์
เดือนกันยายน 1980 บ็อบ มาเลย์ล้มลงขณะที่กำลังจ้อกกิ้งใน Central Park สวนสาธารณะกลางมหานครนิวยอร์คที่พำนักอยู่ ตรวจพบว่ามะเร็งลุกลามไปยังปอดและสมอง
บ็อบ มาเลย์ยังคงบินไปแสดงคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ Stanley Theatre นครพิตสเบิร์ก เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1980 ขณะพักรักษาตัวอยู่ที่นิวยอร์ค คณะแพทย์ก็ลงความเห็นว่าหมดหวัง
บ็อบ มาเลย์อยากจะกลับจาไมก้าบ้านเกิด แต่ไปไม่ไหว จึงแวะพักที่นครไมอามี และจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1981 ด้วยวัยเพียง 36 ปีเท่านั้นศพถูกนำกลับมาฝังไว้ที่บ้านเกิดในจาไมก้า
ศพของบ๊อบ มาร์เลย์ ถูกนำไปฝังบ้านเกิดที่หลักเก้า ศพนอนภายในโลงสีบรอนซ์สวมเจ็คเก็ตผ้าเดนิม นิ้วมือขวาวางบนคัมภีร์ไบเบิลเปิดกางไว้ที่ บท psalm 23
ส่วนมือซ้าย วางทาบบนกีตาร์ กิ๊บสัน - เลสพอล สีเเดงเพลิงกีตาร์คู่ใจของเขา...อำลาเจ้านกสันติภาพ


เพลงของบ็อบ มาเลย์ที่สะท้อนมุมมองของเขามีอยู่เยอะมาก นำมาอธิบายในที่นี้คงจะไม่หมด แนะนำให้ไปอ่านหนังสือที่สะท้อนมุมมองของเขาเหล่านี้
"Bob Marley: Soul Rebel (The Stories Behind Every Song)" โดย มัวรีน เชอริแดน และคริส เวลช์
“Catch a Fire: The Life of Bob Marley” โดย ทิมโมตี ไวท์
“56 Thoughts from 56 Hope Road: The Sayings and Psalms of Bob Marley” โดย ซีเดลล่า มาร์เลย์
“Marley and Me: The Real Bob Marley Story” โดย ดอน เทย์เลอร์ และ ไมค์ เฮ็นรี่
“Bob Marley in His Own Words” โดย เอียน แมคแคนน์
“Bob Marley: A Rebel Life: A Photobiography 1973-1980” โดย เด็นนิส มอร์ริส



Story Rastafarianism
Rasta เป็นคำที่ใช้เรียก คนที่หลงใหลในลัทธิ Rastafarianism


Rasta มาจากชื่อเต็มๆว่า Rastafari เป็นลัทธิและปรัชญาความเชื่อหนึ่ง ที่มีอดีตจักรพรรดืไฮลี เซลาซซี (Haile Selassie) แห่งเอธิโอเปียเป็นองค์ศาสดา

แต่ลัทธินี้มีต้นกำเนิดในประเทศจาไมกา ในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวไร่ ชาวนา คนผิวดำ ในยุคปี 1930 ผู้ที่นับถือมีความเชื่อว่า อดีตจักรพรรดิ ไฮลี เซลาซซี แห่งเอธิโอเปีย คือพระเจ้าที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่จะมาปลดปล่อยคนแอฟริกันและคนดำจากความเป็นทาส และนำวพกเขาไปสู่ความยุติธรรมในสังคม

ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเห็นชาว Rasta หรือผู้ที่หลงใหลดนตรีเรกเก้ ชอบใช้สีเขียว แดง เหลือง เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกาย เนื่องจากเป็นสีของธงชาติประเทศเอธิโอเปียนั่นเอง

ลัทธิและปรัชญาความเชื่อแบบ Rastafari ได้แพร่หลายไปหลายๆ ที่ในโลกโดยผ่านเพลงเรกเก้ของ Bob Marley นักดนตรี นักแต่งเพลงผู้หลงใหลในลัทธิ Rastafari


Rastafari จึงมีอิทธิพลต่อนักดนตรีแนวเรกเก้ เป็นจำนวนมากในปี 1970-1980 สัญลักษณ์ของลัทธินี้ นอกจากสีธงชาติของเอธิโอเปียแล้ว ก็มีทรงผมถัก dreadlock และกัญชา


เป็นที่เชื่อกันว่า ความยาวของ dreadlock เป็นสิ่งที่ชี้วัดความเจนจัด ความปราดเปรื่อง และมากด้วยความรู้ และยังบอกถึงระยะเวลา หรือความยาวนานที่ Rastaman คนนั้น ได้หันมานับถือลัทธินี้

เนื้อหาของเพลงเรกเก้ มีความหลากหลายตั้งแต่เรื่องของ การพยายามที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฏหมาย การต่อต้าน ระบบทุนนิยม การเหยียดสีผิว ไปจนถึงการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการเมือง การส่งเสิรมสันติภาพในจาไมกา และต่อต้านสงครามของ Bob Marley

คำว่า "Irie" ที่ไปรากฏบนตู้โทรศัพท์ และตามที่ต่างๆ มั่วเมือง เมื่อตอนระเบิดกรุงเทพ เมื่อวันสิ้นปีที่แล้ว และทำให้ตำรวจปวดหัวตีความไปกันใหญ่ นึกว่าเป็น IRK นั้น ก็เป็นหนึ่งในคำศัพท์ของชาว Rastafarian นั่นเอง แปลว่าอะไรที่มัน ดี เจ๋ง

22 มิถุนายน 2552

มหัศจรรย์แห่งชีวิต... หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ
ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ


๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี
?
(
๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(
๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(
๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(
๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี
?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข


๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน
?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน


๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา
?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง


๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี
?
(
๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(
๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(
๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร
?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้


๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี
?
(
๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(
๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(
๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ


๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร
?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา


๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี
?
(
๑) หางานใหม่
(
๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(
๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(
๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่


๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย
?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย


๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม
?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า


๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน
?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี
?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ


๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร
?
(
๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(
๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(
๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี
?
(
๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(
๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(
๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง


๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี
?
(
๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(
๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(
๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด


๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก
?
(
๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(
๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(
๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม
?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา
แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน


๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ
?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน

16 มิถุนายน 2552

อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ ( แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอด รถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ และอย่าเปิดแอร์ทันที ตามผลการวิจัย แผงคอนโซล เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งขึ้น ( อย่างที่คุณได้กลิ่่นเหมือนพลาสติกจาง ๆ ในรถ " โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่ ")


นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลดจำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มารดาได้


ระดับของสารเบนซีนที่ยอมรับได้ในอาคาร / ในรถ คือ 50 มิลลิกรัม ต่อ ตารางฟุตแต่ระดับของสารเบนซีนในรถที่จอดอยู่ในร่มมีค่าอยู่ที่ 400 - 800 มิลลิกรัม


หากรถจอดอยู่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 60 องศาฟาร์เรนไฮท์ ( 15.5 องศาเซลเซียส " ในเมืองไทยจอดในร่มอุณหภูมิก็สูงเกินแล้ว " : ผู้แปล) ระดับของสารเบนซีนจะสูงขึ้นถึง 2000 -4000 มิลลิกรัม คือสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ถึง 40 เท่า คนที่อยู่ในรถจะหายใจเอาสารพิษที่สูงเกินมาตรฐานดังกล่าวเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าให้คุณเปิดประตู หน้าต่างรถ ไว้สักระยะเพื่อให้อากาศที่อยู่ในตัวรถออกมาก่อนจะเข้าไปนั่ง ปริมาณสารพิษจะได้ถูกเจือจางลง



กฏหมายเเบบนี้ก็มีด้วย

ห้ามเด็กปากเหม็นไปโรงเรียน!! (อเมริกา : เวสเวอจิเนีย)
อันนี้เนื่องมากจากว่าที่รัฐนี้จะเก็บเกี่ยวหัวหอมชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า wild onion เป็นหัวหอมที่มีรสอร่อยมาก แต่เหม็นมาก... ก็คือถ้าเด็กกินหัวหอมนี่เข้าไปแล้วปากเหม็นจะเป็นการรบกวนชาวบ้าน เลยต้องมีกฎหมายของรัฐข้อนี้ขึ้นมา...
*********
ห้ามสอนเต้นในที่ที่ไม่ใช่ที่
สาธารณะ (เกาหลีใต้)
ห้ามแอบสอนเต้นกัน... ไม่ใช่อย่างนั้น.. ที่ว่าไม่เป็นการสาธารณะที่รวมถึงการเปิดโรงเรียนสอนเต้นเป็นการส่วนตัวด้วย เนื่องจากประเทศเกาหลีใต้ตอนนี้ ได้ข่าวแข่งขันเรื่องการศึกษาสูงมากๆ มากกว่าประเทศญี่ปุ่นอีก แน่นอนว่าพ่อแม่ที่ต้องการส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยศิลป์เกี่ยวกับการแสดง นอกจากจะต้องทำศัลยกรรมแปลงโฉมลูกให้ดูดีแล้ว ยังต้องให้เรียนเต้นได้หลายๆแบบตั้งแต่คลาสสิคบัลเล่ต์ไปจนถึงแนวโมเดิร์น รัฐบาลจึงออกกฎหมายนี้ขึ้นเพื่อระงับยับยั้งโรงเรียนสอยพิเศษเอกชนก็เก็บเงินขูดรีดม
หาโหด.. แต่ก็เกิดการประท้วงขึ้นจนในที่
สุดต้องยกเลิก... พูดง่ายๆก็คือ ยังไงพ่อแม่เค้าก็ยอมจ่าย เพื่อให้ลูกเค้าได้เรียนที่ดีๆ...
*********
เกมคอมพิวเตอร์เป็นเกมผิดกฎหมาย (กรีก)
รัฐบาลกรีกต้องการแก้ปัญหาเรื่องการพนันในเกมคอมพิวเตอร์ เลยออกกฎหมายห้ามเกมคอมพิวเตอร์ซะเลยเมื่อปี 2002 แน่นอนว่ารวมถึงเกมทุกชนิดในคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่ในมือถือด้วย ในความเป็นจริงก็มีชาวต่างชาติโดนจับแล้วหลายรายเพราะถูกค้นพบว่ามีเกมอินสตอลไว้ในม ือถือหรือโน๊ตบุ๊คของตัวเองเท่านั้น...
*********
ความเร็วสูงสุดในการขี่จั
กรยานคือ 110 กม.!! (อเมริกา : รัฐ Connecticut)
อันนี้ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ -_-; ขนาดรถยนต์ธรรมดาที่ญี่ปุ่นยังกำหนดไว้แค่ที่ 100 กม.ต่อชั่วโมง ว่าแต่.. ใครมันจะขี่จักรยานด้วยสปีด 110 กม. ได้...
*********
ฆ่าคน 62 คน แต่โดนโืทษจำคุกแค่ 22 ปี (นอร์เวย์)
หมอชื่ออานฟิน เนเซ็ท ได้ฆาตกรรมคนชรา 62 คนโดยการฉีดยาพิษเข้าที่ผิวหนังด้วยเหตุผลที่ว่า “สนุก” “ต้องการให้ได้ตายสบายๆ” “เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง” “เพราะเป็นโรคทางจิต” เนื่องจากประเทศนอร์เวย์ไม่มีโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต จำคุก 22 ปีก็เป็นโทษสูงสุดที่ให้ได้ในตอนนั้น.. เมื่อปี 2004 อีตานี่ก็พ้นโทษ.. และตอนนี้ก็ออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างมีความสุขแล้ว @_@; (
นอกจากนอร์เวย์แล้วประเทศที่ไม่มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้แก่ เอกวาดอร์ เม็กซิโก ติมอร์ตะวันออก เป็นต้น)
*********
แค่ขโมยแตงโมลูกเดียวโดนโทษจำคุ
กตลอดชีวิต?? (จีน)
ในขณะที่ฆ่าคน 62 คนจำคุกแค่ 22 ปี.. หมอนี่ขโมยแตงโมลูกเดียวจำึคุกตลอดชีวิต -_-; เนื่องจากอีตานี่ไม่มีไรกิน ก็ขโมยแตงโมในตลาดไปลูกนึง ปรากฎว่าคนอื่นเห็นก็พากันเอาอย่างไปหยิบมาบ้าง ปรากฎว่าแตงโมหายไป 25 ตัน ทางการให้เป็นความผิดนี่หมดเพราะถือว่าเป็นเพราะเริ่มขโมยคนแรก (ซวย...) เลยโดนจำคุกตลอดชีวิต ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงบ้าง... -_-;
*********
ใครไม่รับใบเสร็จโดนปรับสูงสุด 15,000 ยูโร (อิตาลี)
สำหรับประเทศอิตาลีแล้วจะมีภาษีตัวนึงที่คล้ายๆภาษีผู้บริโภค (IVA) ที่เก็บสูงถึง 20% ทำให้คนทำธุรกิจหลายรายหลีกเลี่ยงโดยการไม่ออกใบเสร็จให้.. เลยมีกฎหมายตัวนี้ขึ้นมา... ใครไปอิตาลีก็อย่าลืมรับใบเสร็จเค้าด้วยล่ะ
*********
เอ่อ... แต่ละประเทศก็ย่อมมีกฎหมายของแต่ละประเทศนี่นะ..
อื่นๆ
- ในอังกฤษ ห้ามมิให้แท็กซี่ รับหมาบ้าและศพ ขึ้นรถ!
- ในฝรั่งเศส ห้ามตั้งชื่อหมูว่า Napoleon
- ในสหราชอาณาจักร สตรีมีครรภ์สามารถที่จะเลือกใช้ห้องน้ำใดๆก็ได้
- ในอินโดนิเซีย โทษสำหรับการสำเร็จความใคร่ คือการตัดศรีษะ
- ในสวิตเซอร์แลนด์ ห้าม ล้างรถในวันอาทิตย์!
- การกดชักโครกหลัง 4 ทุ่ม ในสวิตฯ ผิดกฎหมาย
- ในสหราชอาณาจักรห้าม สร้างเตียงนอกหน้าต่าง!
- ในอิตาลี ถ้าบุรุษใดคิดทะลึ่งนุ่งกระโปรง ผู้นั้นจะได้นอนมุ้งสายบัว!
- ในออสเตรเลีย กำหนดว่าให้เดินทางด้านขวาของฟุตบาทเท่านั้น
- ในแคนาดา ห้ามแกะผ้าปิดแผลในที่สาธารณะ
- ในจีน ห้ามจอดหรือหยุดจักรยาน บนทางเท้า มิเช่นนั้น จะโดนปรับ 5 หยวน
- ในฝรั่งเศส ห้ามจูบกันบนทางรถไฟ!
- ในอิสราเอล จะผิดกฎหมาย ถ้าพาหมีไปเดินตามชายหาด!
- ในบังกลาเทศ นักเรียนผู้ใดทุจริตในการสอบ มีสิทธิติดคุกได้
- ที่อิหร่านใครเป็นเกย์ต้องถูกแขวนคอ